บันเทิงเริงรมณ์

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

สถานที่ท่องเที่ยวที่ชอบ


สัมผัสสายน้ำสีมรกตที่เอราวัณเรื่อง....สัมผัสสายน้ำสีมรกตที่เอราวัณ
น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่น่าสนใจใกล้เมืองกรุงฯ มาก แต่กลายเป็นสิ่งที่เราผ่านเลยไป ทั้งที่เป็นน้ำตกที่มีความสวยงามถึง 7 ชั้น ซึ่งมีลักษณะเป็นชั้นน้ำตกหินปูน มีแอ่งน้ำเป็นสีเขียว มองเห็นหมู่ปลาแหวกว่ายอยู่เป็นฝูง


เนื่องจากว่าน้ำตกเอราวัณเป็นน้ำตกที่มีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก การเดินทางก็สะดวกสบาย จากตัวเมืองเมืองกาญจนบุรีไปยังอุทยานแห่งชาติเอราวัณ จากจังหวัดกาญจนบุรีไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3199 ถึงเขตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเขื่อนศรีนครินทร์ ข้ามสะพานไปยังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ แล้วจึงเลยเข้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 70 กิโลเมตรน้ำตกเอราวัณเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ เดิมมีชื่อว่า น้ำตกสะด่องม่องลาย ตามชื่อลำห้วยม่องล่ายซึ่งเป็นต้นน้ำจากยอดเขาตาม่องล่ายในเทือกเขาสลอบ ซึ่งเป็นผืนป่าที่ยังคงสภาพป่าที่สมบูรณ์มาก ยังเป็นแหล่งอาศัยของช้างป่าจำนวนมาก ผืนป่าน้ำตกเอราวัณจึงจัดว่ามีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสัตว์ป่า และตลอดจนชุมชนที่อยู่รายรอบป่า

เมื่อเราเช้าไปยังพื้นที่อุทยานแห่งชาติน้ำตกเอราวัณ จะพบลานจอดรถกว้างใหญ่ มีร้านค้ามากมาย ถัดไปด้านในจะเป็นส่วนสำนักงานอุทยานฯ มีรถไฟฟ้าสำหรับบริการนักท่องเที่ยวผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สะดวกต่อการเดินเท้าเข้าไปยังน้ำตกชั้นแรกเมื่อถึงน้ำตกชั้นแรกเราจะสัมผัสกับสายน้ำท่ามกลางธรรมชาติที่ร่มรื่น มีฝูงลิงป่าที่คอยมาขอแบ่งอาหารจากนักท่องเที่ยว เมื่อเดินขึ้นไปอีกนิด จะพบชั้นน้ำตกชั้น 2 ที่มีความสวยงาม เป็นแอ่งน้ำสีเขียว พบว่าชั้นนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาเล่นน้ำกันมาก

ถัดขึ้นไปยังก็เป็นชั้นที่ 3 เป็นชั้นน้ำตกที่สวยไม่แพ้กัน หรือจะเป็นชั้นที่ 4 ต่างก็แอ่งน้ำสีเขียวมรกต น่าชวนชมยิ่งนัก


เมื่อเราเดินขึ้นไปตามเส้นทางเดินเท้า ก็จะพบชั้นน้ำตกชั้นถัดขึ้นไป โดยรูปฟอร์มน้ำตกนั้นสวยงามมาก ถ้าเป็นช่วงมีปริมาณน้ำเต็มแผ่นผาก็จะงดงามยิ่งนัก ดดยในช่วงชั้นที่ 5 และชั้นที่ 6 จะพบแนวชั้นน้ำตกลดหลั่นอย่างงดงาม
ส่วนชั้นที่ 7 จะเป็นชั้นสุดท้ายที่นักท่องเที่ยวนิยมมาเล่นน้ำในแอ่งน้ำสีเขียว โดยจะมีสายน้ำตกไหลจากหน้าผาสูงลงมาตามแผ่นผาหินปูน ก่อนจะลงสู่แอ่งน้ำและไหลลดหลั่นไปยังชั้นล่างๆ ต่อไป



น้ำตกเอราวัณ จัดว่าเป็นน้ำตกยอดนิยมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เราจะเห็นฝรั่งหญิงชายมากมายมาเล่นน้ำตกตามชั้นต่างๆ นอกจากนี้ในพื้นที่อุทยานฯ น้ำตกเอราวัณยังมีถ้ำพระธาตุ อันมีความสวยงามอีก น่าต้องเดินทางจากอุทยานฯ ไปอีกประมาณ 12 กิโลเมตรสำหรับวันพักผ่อนสุดสัปดาห์ที่เราสามารถเดินทางท่องเที่ยวแบบประหยัดสามารถไปเช้า-กลับเย็นได้ ไม่ต้องไปพักค้างแรมให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย หรือใครต้องการสัมผัสบรรยากาศธรรชาติป่าเขาก็สามารถเลือกหาที่พักทั้งในอุทยานฯ และรีสอร์ทที่อยู่ใกล้เคียง
สถานที่ติดต่อ
อุทยานแห่งชาติเอราวัณ โทรศัพท์ 0 3457 4222, 0 3457 4234


การเดินทาง

รถยนต์ส่วนบุคคล ไปตามถนนเพชรเกษมหรือไปตามถนนบรมราชชนนี ผ่านนครชัยศรี บ้านโป่ง ท่ามะกา ท่าม่วง ถึงจังหวัดกาญจนบุรี รวมระยะทาง 129 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง สำหรับการเดินทางจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปยังอุทยานแห่งชาติเอราวัณสามารถใช้ได้ 2 เส้นทางคือ

สายที่ 1 เริ่มต้นจากจังหวัดกาญจนบุรีไปตามทางหลวงจังหวัดหมายเลข 3199 ถึงเขตของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเขื่อนศรีนครินทร์ ข้ามสะพานไปยังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ แล้วจึงเลยเข้าไปยังที่ทำการอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ระยะทางทั้งสิ้นประมาณ 70 กิโลเมตร

สายที่ 2 เดินทางจากอุทยานแห่งชาติไทรโยค จะมีเส้นทางบริเวณบ้านวังใหญ่อยู่ห่างจากน้ำตกไทรโยคน้อยประมาณ 6 กิโลเมตร ลัดออกไปบ้านโป่งปัดบริเวณเขื่อนท่าทุ่งนาระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนหมายเลข 3199 อีกประมาณ 25 กิโลเมตรถึงที่ทำการอุทยานเอราวรรณ

น้ำตกเอราวัณ เป็นน้ำตกที่ใหญ่และสวยงาม บนฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ น้ำตกเอราวัณมีความยาว 2,000 เมตร ทั้งหมด 7 ชั้น อยู่ห่างจากตัวเมือง 65 กิโลเมตร ขึ้นไปบนเส้นทางสายกาญจนบุรี-ศรีสวัสดิ์ (ทางหลวงหมายเลข 3199) เมื่อถึงกิโลเมตรที่ 56 แยกซ้ายข้ามสะพานเข้าตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ตรงไปอีกประมาณ 3 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถแล้วเดินต่อไปอีก 500 เมตร จะถึงน้ำตก สำหรับการเดินทางโดยรถประจำทาง มีรถออกจากสถานีขนส่งใกล้ที่ทำการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มายังตลาดเขื่อนศรีนครินทร์ทุกวัน ที่บริเวณน้ำตกเอราวัณมีบ้านพักของกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ไว้บริการนักท่องเที่ยวด้วย ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 579-0529, 579-4842

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

หลักสูตรที่เปิดสอน

1. หลักสูตรปริญญาตรี สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สายวิทยาศาตร์และวิทยาศาสตร์ประยุกต์โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ ... รายละเอียด

2. หลักสูตรวิทยาศาตรบัณฑิต สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ
2.1 แขนงวิชาเทคโนโลยีการสื่อสารและโทรคมนาคม ... รายละเอียด
2.2 แขนงวิชาเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ... รายละเอียด
2.3 แขนงวิชาการบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศ ... รายละเอียด
2.4 แขนงวิชาการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ... รายละเอียด

3. หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ
3.1 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ ภาคปกติ 4 ปี ... รายละเอียด
3.2 คอมพิวเตอร์ธุรกิจ 2 ปี หลังอนุปริญญา ... รายละเอียด

ข้อควรปฏิบัติในการฝึกงาน



1. อย่าไปสาย การเริ่มฝึกงานวันแรก บางหน่วยงานจะจัดผู้รับผิดชอบสำหรับนักเรียน/นักศึกษาที่ฝึกงานไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันนี้จะต้องมีการแนะนำงาน สถานที่ แนะนำบุคลากร การปฏิบัติตนในขณะทำงาน หรือรายละเอียดปลีกย่อยอื่น ๆ และกรณีที่นักเรียน/นักศึกษา ไปฝึกงานด้วยกัน ซึ่งแต่ละสถานศึกษามักจะส่งรายชื่อให้สถานประกอบการ อย่างน้อย 2 คน ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้ารับการปฐมนิเทศจากผู้รับผิดชอบในเวลาพร้อมเพรียงกัน (นัดแนะให้เรียบร้อย) จะทำให้ไม่เสียเวลากับหน่วยงานนั้น ๆ เป็นการสร้างความประทับใจครั้งแรกให้กับสถานประกอบนั้นๆ ไม่ไปตรงเวลา คงจะต้องบอกว่า ให้ไปก่อนเวลาปฏิบัติงาน ยิ่งถ้าเป็นงานเอกชน อย่าลืมว่าทุกเวลานาทีของเขาเป็นเงินทองที่ต้องได้ต้องเสีย

2. พบแผนกบุคคล กรณีที่นักเรียน/นักศึกษาไม่ได้ไปยื่นสมัครขอฝึกงานด้วยตัวเอง แต่สถานศึกษาเป็นผู้ติดต่อให้ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ นักเรียน/นักศึกษาจะต้องถามรายละเอียดเบื้องต้นกับครูผู้ดูแลการฝึกงานว่า จะให้ติดต่อกับใคร เพื่อเตรียมพร้อมก่อนจะไปฝึกงาน หรือกรณีที่ไม่รู้ข้อมูล ก็สามารถติดต่อกับแผนกบุคคลหรือแผนกทรัพยากรมนุษย์ (ปัจจุบันหน่วยงานใหญ่จะนิยมใช้คำนี้) ส่วนการฝึกงานต่างจังหวัด ถ้าเป็นหน่วยงานราชการส่วนใหญ่มักจะให้งานประชาสัมพันธ์หรืองานธุรการเป็นผู้รับผิดชอบด่านแรกของหน่วยงานนั้น ๆ และ ถ้าเป็นสถานประกอบการขนาดเล็ก ก็สามารถไปพบเจ้าของสถานประกอบการแห่งนั้นๆ ได้เลย การสอบถามล่วงหน้าก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พึ่งปฏิบัติ เพื่อจะทำให้สถานประกอบการได้เตรียมตัวหรือรับทราบว่าจะมีเด็กหน้าใสๆ มาร่วมงาน โดยการโทรศัพท์บอกกล่าวว่า เป็นนักเรียน/นักศึกษาที่จะมาฝึกงาน และอาจจะสอบถามเพิ่มเติมได้ว่าจะติดต่อกับใครเมื่อไปถึงสถานประกอบการนั้น ๆ หรือกรณีที่ไปติดต่อเอง บุคคลที่สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลและตัดสินใจในวันที่ไปสมัครก็น่าจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบ สำหรับนักเรียน/นักศึกษาของวิทยาลัยเกษตรฯ อาจจะแตกต่างจากที่อื่นคือ ครูจะไปพร้อมกับนักเรียน/นักศึกษา ซึ่งสร้างความอบอุ่นใจให้กับผู้จะฝึกงานและสร้างความสัมพันธ์อันดีให้กับสถานประกอบการ ต้องขอบอกว่า ข้อควรปฏิบัตินี้ไม่ควรจะละเลยและไม่ควรจะจางหายไป

3. อย่าอายที่จะถาม เมื่อไปแล้วไม่พบผู้ที่ได้รับข้อมูลมา ก็คงจะต้องสอบถามให้ได้ อย่าท้อแล้วรีบเปลี่ยนสถานประกอบการไปก่อนหล่ะ เพราะสถานประกอบการ เวลาทำงานอาจจะแตกต่างจากหน่วยงานทั่วไปหรืออาจจะมีงานด่วน งานรีบ งานเร่ง ที่ลืมที่จะให้ใครรับผิดชอบเรื่องนี้ การแต่งกาย รวมถึง เสื้อผ้า หน้า ผม เครื่องแบบของสถานศึกษานักเรียนหญิง/ชาย ก็ควรเป็นไปตามที่สถานศึกษากำหนด นอกเสียจากสถานประกอบการนั้น ๆ มีเครื่องแบบสำหรับนักเรียน/นักศึกษาฝึกงาน มีหลายหน่วยงานจะมีป้ายบอกว่า เป็นนักเรียนฝึกงาน หรือ trainee ติดไว้ และก็คงจะต้องไม่ลืมว่า เราคงจะต้องติดไว้ตลอดจนเสร็จสิ้นระยะเวลาการฝึกงาน อีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือ รองเท้าที่นักศึกษาหญิง เมื่อไปฝึกงานระยะแรกจะสวมรองเท้าได้ถูกระเบียบ จากนั้นก็จะลากรองเท้าแตะ แม้ที่ทำงานอนุญาตก็คิดว่า ไม่น่าจะเหมาะสมกับสถานภาพของการฝึกงาน ในทำนองเดียวกันกับนักศึกษาชาย โดยเฉพาะนักศึกษาแผนกวิชาทางด้านอุตสาหกรรมก็ยิ่งมีความจำเป็นทึ่จะต้องแต่งกายในอยู่ในระเบียบและรัดกุม เพราะเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เครื่องแบบเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงสถานศึกษานั้น ๆ ก็คงจะต้องให้นักศึกษาตระหนักว่า สิ่งที่บุคคลภายนอกเห็นนั้นจะบอกกล่าวต่อ ในภาพบวกหรือภาพลบ ทรงผมก็คงจะต้องบอกกล่าวในที่นี้ ว่า คำว่าเหมาะสมกับสภาพนักเรียน/นักศึกษา เพราะเทรนด์ทรงผมแต่ละยุคสมัยของวัยรุ่น มองอย่างไรมันไม่ก็ค่อยเหมาะกับการทำงาน คงต้องระวังในเรื่องนี้เช่นกัน

4. เอกสารประกอบการฝึก เอกสารต่าง ๆ ได้แก่ หนังสือรายงานตัวการฝึกงาน บันทึกการฝึกงาน (รายละเอียดและประวัติส่วนตัวต่าง ๆ บันทึกให้ครบถ้วน) ยกเว้นผู้ควบคุมดูแลการฝึกที่จะได้รายละเอียดในวันแรกที่ฝึกงาน แบบการประเมิน (ทางด้านพฤติกรรม) อย่าลืมที่จะสอบถามว่าใครจะเป็นผู้ลายมือชื่อกำกับดูแลควบคุมการทำงานแต่ละวัน

5. พยายามจำชื่อ ในการทำงานวันแรก จะต้องจดจำชื่อ เพื่อนร่วมงานให้ได้ รวมถึงหน้าที่การงาน


6. อย่าลืมว่า เพื่อนร่วมงาน เปรียบเสมือนครูฝึกของเราเอง ฉะนั้นการปฏิบัติตนกับผู้ร่วมงานต้องมีสัมมาคารวะ และต้องการยอมรับความจริงว่า เราเข้าสู่โลกของการทำงานจริง จะมีสถานการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้น ไม่ว่า จะเป็นเรื่องการนินทาว่าร้าย การทะเลาะวิวาท ความไม่พึงพอใจ การอิจฉาริษยา ซึ่งก็ไม่ควรนำเรื่องเหล่านั้นมาเล่าต่อหรือจับกลุ่มนินทาร่วมกันกับคนที่ทำงาน ระยะเวลาที่ พวกเรามาฝึกงานนานที่สุดไม่น่าจะเกิน 1 ภาคเรียน เพราะฉะนั้น ท่องจำคำว่า อดทนให้ได้ แยกแยะให้ได้ว่า สิ่งใดควรจะทำหรือไม่ทำและเปรียบเทียบถึงผลที่จะตามมา และอย่าลืมว่า พวกเรายังมีครูนิเทศ ครูที่ปรึกษาที่จะให้คำแนะนำได้ตลอดเวลา7. ยิ้ม หน้าตาคงจะเปลี่ยนแปลงไปได้ยาก แต่การยิ้มเป็นเสน่ห์ที่ทุกคนมีอยู่ในตัว ให้ยิ้มมาจากใจไม่ใช่ฝืน8. เตรียมพร้อมที่จะต้องฟังการนิเทศอีกครั้งหนึ่ง สมุด ปากกา เตรียมให้พร้อมที่จะจดหรือบันทึก และต้องนั่งฟังอย่างตั้งใจ เวลาตรงนี้คงไม่มากเท่ากับการปฐมนิเทศจากสถานศึกษา เพราะสถานประกอบการคงต้องใช้เวลาเพื่อการทำงานให้มากที่สุด

ขั้นตอนการสมัครงาน



ขั้นตอนการสมัครงาน


การสมัครงานจะมีกระบวนการ-ขั้นตอน ดังนี้
1. การเตรียมตัวก่อนการสมัครงาน
2. การกรอกใบสมัคร
3. การเขียนประวัติย่อ (RESUME)
4. การเขียนจดหมายสมัครงาน
5. การสอบข้อเขียน หรือการทดสอบความสามารถ
6. การสัมภาษณ์
7. การติดตามผล

รายละเอียด ขั้นตอนการเตรียม ตัวสมัครงาน เฉพาะในการเตรียมตัวก่อนการสมัครงาน การกรอกใบสมัคร การเขียนประวัติย่อ (RESUME) และการเขียนจดหมายสมัครงาน มีดังนี้

1. การเตรียมตัวก่อนการสมัครงานได้แก่ การเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมบุคลิกท่าทาง ตลอดจนเตรียมหลักฐานเอกสารต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ ในการสมัครงานไว้ให้พร้อม เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน ใบรับรองผลการศึกษา ประกาศนียบัตร ปริญญาบัตร ประวัติย่อ ซึ่งหลักฐานเหล่านี้ ควรมีการ ถ่ายเอกสาร เตรียมไว้เป็นชุด ๆ หลาย ๆ ชุด เพื่อพร้อมที่จะใช้ได้ทันที รูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว เขียนชื่อ-นามสกุล หลังรูป
จดหมายรับรองการฝึกงาน (ถ้าเคยฝึกงาน) หนังสือรับรองการทำกิจกรรมนิสิต ใบยกเว้นการรับราชการทหาร เครื่องใช้ในการกรอกใบสมัคร ปากกา (ดำหรือน้ำเงิน) ยางลบ ไม้บรรทัด ชื่อที่อยู่ของผู้ที่เราจะอ้างอิงถึง (ขออนุญาตเสียก่อน) เสื้อผ้าชุดที่เรียบร้อยที่สุดหรือชุดที่ทำให้เรามั่นใจมากที่สุด
ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท-หน่วยงานที่เราต้องการสมัคร รวมทั้งลักษณะงานในตำแหน่งที่สมัคร

2. การกรอกใบสมัคร ใบสมัครนับเป็นเครื่องมือลำดับแรกในการคัดเลือกบุคลากรเข้าทำงาน เพราะส่วนใหญ่ใช้วิธีการคัดเลือกผู้สมัครเข้ารับการสัมภาษณ์ โดยพิจารณาจากรายละเอียดในใบสมัคร เช่น กิจกรรมที่เคยทำขณะศึกษาอยู่ลักษณะของงานและความรับผิดชอบที่มีอยู่ นอกจากนี้ ผู้สัมภาษณ์ยังใช้ศึกษาเพื่อทำความคุ้นเคยกับผู้สมัครและจะเตรียมการซักถามเพิ่มเติมถึงรายละเอียดในบางหัวข้อ ขณะทำการสัมภาษณ์ ดังนั้น ผู้สมัครจึงควรทำความเข้าใจกับใบสมัครก่อนที่จะกรอกเพื่อจะได้กรอกได้อย่างถูกต้องเรียบร้อยและดึงดูดความสนใจ ของผู้พิจารณาใบสมัคร

3. การเขียนประวัติย่อ (RESUME) คำว่า "Resume" นี้ มาจากภาษาฝรั่งเศส ว่า resume ซึ่งก็มีความหมายว่า Summary แปลเป็นไทยว่า สรุป หรือ ย่อ ฉะนั้นเวลาเขียนจะใช้สะกดแบบฝรั่งเศส หรือแบบอังกฤษก็ได้ด้วยกันทั้งสองแบบปัจจุบันนี้ Resume นับว่ามีความสำคัญเท่า ๆ กับจดหมายสมัครงาน (Application Letter) ก็แทบจะว่าได้ จะเห็นได้จาก ข้อความที่ลงโฆษณางานตามหนังสือพิมพ์ หรือนิตยสารต่าง ๆ โดยฝ่ายนายจ้างจะบอกให้ผู้สมัครส่ง Resume แนบไปพร้อม กับจดหมายสมัครงานด้วย ดังจะดูได้จากข้อความที่ลงโฆษณา ซึ่งจะระบุโดยละเอียดว่าผู้สมัครต้องแนบเอกสารอะไร ไปพร้อมกับจดหมายนี้บ้าง เช่น

1. Please submit application letter stating expected salary, resume and a recent photo to ...
(โปรดยื่นจดหมายสมัครงานพร้อมทั้งแจ้งเงินเดือนที่ต้องการ พร้อมทั้งแนบประวัติย่อและรูปถ่ายปัจจุบันหนึ่งรูปไปที่ ....)
2. Please send handwritten application, resume, transcript and a recent photo to ... (โปรดส่งจดหมายสมัครงานเขียนด้วยลายมือแนบประวัติย่อ ผลการศึกษาและรูปถ่ายปัจจุบันไปยัง....)
รายละเอียดในประวัติย่อResume เปรียบเสมือนเครื่องเปิดประตูที่ดี กล่าวคือ ให้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวผู้สมัครได้โดยย่อ และสามารถทำให้ผู้อ่านเข้าใจได้ ภายในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ ยังเปรียบได้กับใบโฆษณาคุณสมบัติของตนเองอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนก็ต้องให้ความสนใจ เป็นพิเศษว่าใน Resume นั้น ควรจะต้องประกอบด้วยรายละเอียดอะไรบ้าง และมีระเบียบที่จะต้องปฏิบัติอย่างไรลักษณะของ Resume ที่ดี
1). ยาวไม่เกิน 2 หน้ากระดาษ ซึ่งมีขนาด A4 (หรือประมาณ 8"x12") และเป็นกระดาษสีขาว มีคุณภาพ แต่ถ้าเป็นนักศึกษาจบใหม่ ด้วยแล้ว ควรจะเขียนให้จบในหนึ่งหน้ากระดาษเท่านั้น และรวมเฉพาะรายละเอียดที่จำเป็น และต่อประเด็นจริง ๆ เท่านั้น
2). อย่าใช้คำย่อในคำที่ไม่ควรย่อ เช่น วันเดือนปีเกิด ควรเขียนคำเต็ม ส่วนคำอื่น ๆ ถ้าจะย่อหรือไม่ย่อนั้น ให้ดูตามหลักสากลนิยมเป็นตัวอย่าง
3). ในกรณีที่ระบุงานอดิเรกเข้าไว้ด้วย ควรระวังว่างานอดิเรกที่เราเอ่ยถึงนั้นมีความเหมาะสมกับงานที่เราสมัครหรือเปล่า
4. การเขียนจดหมายสมัครงาน การเขียนจดหมายสมัครงาน ต้องพิมพ์ให้สะอาดเรียบร้อยด้วยกระดาษพิมพ์ขนาดสั้น (8x1/2" x 11") ทุกครั้ง แต่ถ้าในประกาศรับสมัครระบุให้เขียนด้วยลายมือตนเอง ก็ควรเขียนตัวบรรจง ให้อ่านง่ายสะอาดเรียบร้อยและสวยงาม ควรมีความยาวจำกัดเพียง 1 หน้ากระดาษ ใช้ฟอร์มการเขียนแบบจดดหมายธุรกิจ และต้องปราศจากข้อผิดพลาดใด ๆ ทั้งสิ้น ควรกล่าวเจาะจงนามบุคคลแทนการกล่าวตำแหน่งหรือผู้เกี่ยวข้อง (คุณ...แทน ผู้จัดการฝ่ายบุคคล) แต่ถ้าไม่แน่ใจว่าจะสามารถสะกด ชื่อ-นามสกุล ได้อย่างถูกต้อง หรือไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นใครก็ควรจะใช้ "ผู้จัดการฝ่ายบุคคล" หรืออื่น ๆ ที่ประกาศรับสมัครงานระบุไว้ ต้องส่งพร้อม RESUME ทุกครั้ง ข้อมูลที่ปรากฏอยู่บนจดหมายแนะนำหรือจดหมายสมัครงานควรที่จะทำให้นายจ้างหรือแผนกบุคคลสนใจและเรียกตัวเข้าสัมภาษณ์

ข้อมูลที่กล่าวนี้อาจแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
1). คุณเป็นใคร และทำไมคุณจึงเขียนจดหมายส่งไปยังบริษัท
2). กล่าวถึงความสามารถของคุณที่คาดว่าจะมีคุณค่าต่อบริษัท
3). กล่าวถึงความสนใจของคุณที่มีต่อบริษัทโดยการพูดถึงสิ่งที่เด่นเป็นเอกลักษณ์ของบริษัท เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณได้สละเวลาศึกษาค้นคว้าความรู้เกี่ยวกับบริษัท

โดยสรุปแล้วย่อหน้าสุดท้ายของจดหมายสมัครงานมีไว้เพื่อ
1. ขอนัดเวลาสัมภาษณ์
2. ขอฟังคำตอบจากนายจ้างหรือแผนกบุคคล
3. บอกว่าคุณจะติดต่อภายหลัง
โปรดจำไว้เสมอว่าจดหมายสมัครงานต้องส่งควบคู่กับ RESUME ทุกครั้ง

การสร้างจดหมายเวียน

1. สร้างเอกสารที่เป็นต้นฉบับ( ตัวอย่าง)


บันทึกข้อความ


เรียนผู้ปกครองของ ..............

โปรแกรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ขอแจ้งผลการเรียน ภาคเรียนที่ 3/2551 ของ ................. แขนง ................ ผลการเรียนเฉลี่ย ........................
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

อาจารย์พรทิพย์ เหลียวตระกูล

จะสังเกตได้ว่าตรงที่มีการขีดเส้น ............ ไว้ เพื่อที่จะแสดงข้อมูลจากฐานข้อมูลที่เราเขียนไว้ เสร็จแล้วเซฟ



2. เปิดเอกสารใหม่แล้วสร้างฐานข้อมูลตามที่ต้องการอีกไพล์ เช่น


สร้างตารางให้มีช่อง รหัสนักศึกษา,ชื่อสกุล,แขนงวิชา,เกรดเฉลี่ย จากนั้นก็ใส่ข้อมูลของนักศึกษาลงไปให้ครบ

จากนั้นทำการเซพ (เป็นงานใหม่นะ) จะได้ไพล์ 2 ตัว คือ บันทึกข้อความ และ ฐานข้อมูล ปิดไพล์ฐานข้อมูลซะ


3. จากนั้นมาที่เอกสาร บันทึกข้อความ คลิกที่เครื่องมือ > จดหมายและเมล > แสดงแถบเครื่องมือจดหมายเวียน จะได้แถบเครื่องมือนี้




ตัวที่^สองจากซ้ายคลิกตรงนี้เพื่อเปิดแหล่งข้อมูล เลือกไปยังที่ที่เราเก็บไฟล์ ฐานข้อมูลของเราไว้


4. จากตัวอย่างข้างต้นนะ จะสังเกตได้ว่ามีเส้นปะท้ายข้อความ แต่ตอนนี้ได้ทำการเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลเรียบร้อยแล้ว


บันทึกข้อความ


เรียนผู้ปกครองของ «ชื่อ__สกุล» <---- ส่วนที่ต้องการให้แสดงในฐานข้อมูล
โปรแกรมเทคโนโลยีสารสนเทศ ขอแจ้งผลการเรียน ภาคเรียนที่ 3/2551 ของ «ชื่อ__สกุล» แขนง «แขนงวิชา» ผลการเรียนเฉลี่ย «เกรดเฉลี่ย»
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ

อาจารย์พรทิพย์ เหลียวตระกูล




จะไดอารอกบล็อกขึ้นมา เช่นนี้ ซึ่งจะเป็นเขตข้อมูลที่เราสร้างไว้ใช่มั้ย..... ?
ดูว่าเราต้องการเลือกเขตข้อมูลอันไหนลงไปต่อจากข้อความในบันทึกข้อความ (ย้อนกลับไปดูด้านบน ชื่อ – สกุล จะอยู่ต่อจากเรียนผู้ปกครองของ .. ต่อจากแขนงจะเป็น «แขนงวิชา» และผลการเรียนเฉลี่ยจะเป็น «เกรดเฉลี่ย» ตามความต้องการ)
5. ทำการเซฟ และกดที่ผสานเป็นเอกสารใหม่
ผสานเป็นเอก ^ สารใหม่
จะได้เอกสารที่มีรายชื่อตามฐานข้อมูลของเราทั้งหมดทุกคน รูปแบบจะเหมือกันแต่จะต่างกันตรง
ชื่อ – สกุล แขนง เกรด
<<--The End-->>

ประวัติส่วนตัว


ชื่อ : สมคิด
นามสกุล : อนุสรณ์สกุล
ชื่อเล่น : ซัน
อายุ : 27 (='o'=)
วันเกิด : 25/12/ 2524
กีฬาที่ชอบ : ว่ายน้ำ ปิงปอง แบตมินตัน
ยามว่าง : ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวต่างจังหวัด
Email :
sunzombie@hotmail.com